27 ธันวาคม 2556
ในระหว่างที่ป้าโอ้ทกำลังหยิบกุ้งชุบแป้งทอด จิ้มซอส(ห่อสำเร็จ) ก่อนจับใส่ปาก ตามด้วยมันฝรั่งทอด ป้าโอ้ทได้คิดว่า " มิสเตอร์ตอนอยู่ไทยคงเหมือนป้าโอ้ทเวลานี้ กินให้อิ่ม โดยที่ไม่คำนึงถึงรสอาหารว่าถูกปากตัวเอง" เพราะด้วยสถานการณ์ไม่มีทางเลือก (ถ้ามีป้าโอ้ทขอเลือกทางที่ดีกว่า)
ทุกครั้งที่ป้าโอ้ทมาบ้านแม่ย่า/ญาติ มิสเตอร์ที่นอร์ทดาโกต้า ป้าโอ้ทจะโหย รสอาหารไทย/เอเชีย เมื่อกลับบ้านที่เดลาแวร์ทุกครั้ง เพราะที่นี่ไม่มีร้านอาหารเอเชีย ผู้อ่านคงกำลังคิดว่า"ก็ทำเองซิ" ใช่ไหมคะ? ป้าโอ้ทก็อยากทำเอง แต่ไม่มีร้านเอเชีย ไม่มีอะไรที่เป็นเอเชียขาย และอีกทางเลือกคือ ป้าโอ้ทพกอาหารมาเองจากเดลาแวร์ แล้วมาใส่ไมโครเวฟ นั่นคือ กลิ่นคงอบบ้านแม่ย่า แล้วอาจทำให้แม่ย่าเวียนหัวก็เป็นได้เพราะไม่คุ้นเคย
ส่วนร้านอาหารทั่วๆ ไป เหมือนที่เดลาแวร์มีอยู่มากมาย ที่นี่ก็ไม่มีค่ะ ถ้าจะกินร้านเหล่านั้นต้องไปอีกเมือง ใช้เวลาขับรถ หนึ่งชั่วโมง ซึ่งนานๆ ไปก็ได้ แต่ไปบ่อยๆ คงไม่ไหว สิ่งที่มีคือร้านอาหารของคนพื้นที่ ซึ่งมีเมนูให้เลือกไม่มาก และ รสไม่ถูกปากป้าโอ้ทด้วย แต่หิวแล้ว ก็กินให้อิ่มซะ ไม่ต้องนึกถึงว่าอร่อยถูกปากหรือไม่ เพราะอย่างน้อย ป้าโอ้ทเป็นคนเลือกเมนูที่ตัวเองคิดว่ากินได้
นึกแบบนี้แล้ว นอกจากจะนึกถึงมิสเตอร์ตอนไปไทย แล้วยังนึกไปถึงคนที่ไม่มีจะกินกว่า เช่นเด็กๆในประเทศแอฟริกา เอธิโอเปีย เขาเหล่านั้นอย่าว่าแต่เลือกเมนูเองเลย อาหารเขาก็ไม่มีให้เลือก ป้าโอ้ทเห็นในทีวีเขากินดินกัน
สถานการณ์ป้าโอ้ทแค่กินให้อิ่ม เพราะไม่มีตัวเลือก(อาหารที่ชอบ รสถูกปาก) แต่เด็กๆ เหล่านั้น เขากินเพื่ออยู่ ประทังชิวิต ให้มีแรงไปวันๆ และเลือกไม่่ได้ด้วย
ป้าโอ้ทโชคดีกว่าหลายๆชีวิต
Search This Blog
Friday, December 27, 2013
Tuesday, October 1, 2013
สีเหลือง...
ป้าโอ้ทชอบสีสันสดใส สีหม่นก็ชอบนะ แต่น้อยกว่า
1 ตุลาคม 2556ป้าโอ้ทเคยไม่ชอบสีเหลือง ด้วยเหตุผลจากความรู้สึกเท่านั้นว่า"ไม่ชอบ" กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ คนหนึ่ง มีชะตาเหมือนกันคือต้องใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง สิ่งที่เหมือนกันคือชอบทำงานไหม จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับเวลาที่แต่ละคนจัดสรรทำงานไหมนั้นๆ เพื่อนส่งผ้าพันคอทำเองสีเหลืองมาให้ป้าโอ้ท ซึ่งตอนได้รับรู้สึก"ว้า สีเหลือง" แต่เพื่อน"ตั้งใจ"ทำ และใช้เวลาในการทำ งานฝีมือทุกชิ้นต้องใช้สมาธิ และ เวลา ที่สำคัญ ขณะที่ทำผู้ทำใส่"ใจ" ทำให้ป้าโอ้ทต้องยอมรับ และ"ฝืน" ใส่ผ้าพันคอผืนนั้น ด้วยความที่เพราะ"เพื่อนทำให้ด้วยใจ" ป้าโอ้ทบอกตัวเองว่า
"เอาวะ! ไม่ชอบใช่ไหม งั้นต้องใช้บ่อยๆ จนกว่าจะชอบ" ซื้อเสื้อผ้าสีเหลืองมาใส่ แล้วใส่บ่อยๆ และ...ปาฎิหาริย์มีจริง (เว่อร์!) ป้าโอ้ทรู้สึก"ชอบ" สีเหลืองตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้
ก่อนหน้า...ป้าโอ้ทไม่ชอบสีชมพู เพราะคิดเองว่า สีชมพูไม่เหมาะกับบุคลิก หลายปีมาแล้ว สีชมพูกับป้าโอ้ทไม่ใช่สิ่งคู่กัน จนกระทั่งมาอยู่อเมริกา เสื้อผ้าสีชมพูมีนับชิ้นได้ นานๆ ใส่ สองปีผ่านไปในอเมริกา มิสเตอร์ซื้อโทรศัพท์ใหม่ ป้าโอ้ทได้เครื่องใหม่ด้วย(ผลของการเป็นผู้ติดตาม...^_^) ชุดโทรศัพท์ได้ซองแถมฟรี! ป้าโอ้ทชอบของฟรีอยู่แล้ว และซองแถมเป็น"สีชมพู" ว้า! แต่เพราะฟรี ใช้ๆ ไปเถอะ
จากวันนั้นกลับมาบ้าน ป้าโอ้ทนึกอยากสร้างภาพ"ป้าโอ้ทชมพูหวาน" แล้วลงมือปฎิบัติ ผลออกมา "ดูดีเหมือนกัน" ภาพหวานปิดบังความชืด "ป้าโอ้ทเปรียบเปรยตัวเอง
*ทำให้ป้าโอ้ทเปลียนความรู้สึก และ นำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน กับการติดต่อคนในสังคม(แคบๆของป้า)*
สิ่งที่เราไม่ชอบเพราะเหตุผล"รู้สึก" เราฝืนเผชิญกับสิ่งนั้นให้เต็มที่แล้วหากความ"รู้สึก"ยังคงไม่ชอบเพราะได้สัมผัสกับ"ด้านไม่ดี"ของสิ่งนั้น บทสรุปคือจงไม่ชอบต่อไป
แต่ถ้ายิ่งสัมผัสกับสิ่งนั้นแล้ว"รู้สึก" ดีขึ้น ดีขึ้น เราจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่รู้สึก"ไม่ชอบ" หายไปตั้งแต่เมื่อไร
กับคนก็เช่นกัน เราไม่ชอบคนนั้น เพราะ"รู้สึก" หันมามองเขาใหม่ คลุกคลีกับเขาให้มากขึ้นแล้วดูซิว่า ที่เรา"รู้สึก" ใช่หรือไม่ใช่
หลายๆคนจากที่"รู้สึกไม่ชอบ" เปลียนเป็น เพื่อนสนิท เพื่อนที่ยังติดต่อคลุกคลี และอยู่ในวงจรของเรา
หลายๆคนจากที่"รู้สึกไม่ชอบ" เปลียนเป็น อยู่"ห่างๆ" ไว้ดีที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ทุกคนมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง หากในวิสัยทัศน์นั้นมีความประนีประนอม ไม่อคติ ไม่หลงตน ความขัดแย้ง ชิงดีชิงเด่น คงจะไม่มี (มั้ง)
................
Thursday, September 12, 2013
สติ
11 กย 56
น่ากลัวจริงๆข่าวนี้ คู่แต่งงานใหม่ ชายอายุ 27 หญิงอายุ 22 หญิงเปลียนใจไม่อยากแต่ง คุยกับสามีระหว่างไฮกิ้งบนเขา มีปากเสียงกัน หญิงโมโหผลักสามีด้านหลังตกเขาตาย ที่เกรเชอร์ ระหว่างที่มิสเตอร์กับป้าโอ้ทไปเที่ยว แต่ไม่ได้เดินกันจุดเกิดเหตุนะ มิสเตอร์อ่านข่าววันนี้แล้วบอกป้าโอ้ท เอามาบอกต่อ สยองๆๆ http://www.foxnews.com/us/2013/09/10/newlywed-wife-charged-with-pushing-husband-off-cliff-in-glacier-national-park/
...........................................
หลายคนอ่านข่าวแล้วบอกว่าผู้หญิงคนนี้บ้า สมควรติดคุกหัวโต
*ความโมโห อารมณ์ชั่ววูบเกิดได้กับทุกคน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนบ้าอย่างที่เราว่าเขาก็ต้องควบคุมสติตัวเองให้ได้ และถ้าเราอยู่กับคนที่ขาดสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ กลายเป็นบ้า เราก็ต้องระวังตัวให้ดี ป้าโอ้ทบอกมิสเตอร์ว่าไอไม่เคยคิดจะทำร้าย หรือ ฆ่ายู แล้วยูล่ะ คำตอบคือไม่เหมือนกัน ^_^ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องระวัง ควบคุมสติตัวเองให้ได้ เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
น่ากลัวจริงๆข่าวนี้ คู่แต่งงานใหม่ ชายอายุ 27 หญิงอายุ 22 หญิงเปลียนใจไม่อยากแต่ง คุยกับสามีระหว่างไฮกิ้งบนเขา มีปากเสียงกัน หญิงโมโหผลักสามีด้านหลังตกเขาตาย ที่เกรเชอร์ ระหว่างที่มิสเตอร์กับป้าโอ้ทไปเที่ยว แต่ไม่ได้เดินกันจุดเกิดเหตุนะ มิสเตอร์อ่านข่าววันนี้แล้วบอกป้าโอ้ท เอามาบอกต่อ สยองๆๆ http://www.foxnews.com/us/2013/09/10/newlywed-wife-charged-with-pushing-husband-off-cliff-in-glacier-national-park/
...........................................
หลายคนอ่านข่าวแล้วบอกว่าผู้หญิงคนนี้บ้า สมควรติดคุกหัวโต
*ความโมโห อารมณ์ชั่ววูบเกิดได้กับทุกคน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนบ้าอย่างที่เราว่าเขาก็ต้องควบคุมสติตัวเองให้ได้ และถ้าเราอยู่กับคนที่ขาดสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ กลายเป็นบ้า เราก็ต้องระวังตัวให้ดี ป้าโอ้ทบอกมิสเตอร์ว่าไอไม่เคยคิดจะทำร้าย หรือ ฆ่ายู แล้วยูล่ะ คำตอบคือไม่เหมือนกัน ^_^ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องระวัง ควบคุมสติตัวเองให้ได้ เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
Thursday, June 13, 2013
สูง ฟ้า ต่ำ หมอก สัจธรรม
บทนี้แต่งขึ้นจากร่วมสนุกกับเพื่อนในเวบ ทอฝัน โดยมีคำกำหนดไว้ 5 คำ สูง ฟ้า ต่ำ หมอก สัจธรรม
เกิดเป็นหงส์สูงส่งบนฟ้า
เกิดเป็นกาต้อยต่ำดำปี๋
เกิดเป็นคนเลือกทางเดินให้ดี
ผ่านหมอกฝนครานี้สู่ทางสัจธรรม
โอ้ทค่ะ 13 มิถุนายน 2556
เกิดเป็นหงส์สูงส่งบนฟ้า
เกิดเป็นกาต้อยต่ำดำปี๋
เกิดเป็นคนเลือกทางเดินให้ดี
ผ่านหมอกฝนครานี้สู่ทางสัจธรรม
โอ้ทค่ะ 13 มิถุนายน 2556
8 คำ
เขียนสนุกๆ กับเวบทอฝัน โจทย์ 8 บันทัด
<กำลังใจช่วยได้ทุกอย่าง...เน่อะ ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ^_^>
......................................
<กำลังใจช่วยได้ทุกอย่าง...เน่อะ ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ^_^>
......................................
ช่างมัน...
ไม่เป็นไร...
ขอโทษ...
ขอบคุณ...
พอแล้ว...
ลุก...
ลองใหม่...
ยิ้ม...
Wednesday, May 22, 2013
ไดอารี่ที่เขียนสอนเรา...
22 พฤษภาคม 2556
นั่งอ่านไดอารี่ สมุดบันทึกเล่มเดียวที่เอาติดมาด้วยจากไทย ในสมุดเล่มนี้เริ่มเขียนเมื่อ 9 กันยายน 2538 จนกระทั่ง 22 พฤษภาคม 2551 ...โอโหไม่อยากจะเชื่อว่าตรงกับวันนี้ในปีนี้ที่หยิบสมุดบันทึกมาอ่าน 17-18 ปีมาแล้ว นานมาก
อ่านไปเรื่อยๆ เราเห็นความอดทน เข้มแข็งของตัวเองมากๆ เพราะมีเรื่องราวบั่นทอนชีวิตเกิดขึ้นหลายอย่าง ไม่ได้หนักหนาสาหัสหากเทียบกับใครหลายคน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็ง บอกให้เราเห็นว่าเราใช้เวลาแต่ละวันทำอะไร และยังบอกอีกว่าเมื่อเวลาผ่าน เห็นอะไรรอบตัวมากขึ้น ทำให้มีปัจจัยในการคิด ตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น จนในที่สุดช่วงชีวิตที่ดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉพาะทางร่างกายและวัตถุ แต่รวมถึงจิตใจด้วย
ตั้งแต่ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาเดินเส้นทางของเราเรื่องราวบันทึกต่อจากนั้นมีแต่ความสนุกสนานบันเทิง ผู้ชายคนนั้นคือคนนี้ที่ใช้ชิวิตอยู่ด้วยในปัจจุบัน
นั่งอ่านไดอารี่ สมุดบันทึกเล่มเดียวที่เอาติดมาด้วยจากไทย ในสมุดเล่มนี้เริ่มเขียนเมื่อ 9 กันยายน 2538 จนกระทั่ง 22 พฤษภาคม 2551 ...โอโหไม่อยากจะเชื่อว่าตรงกับวันนี้ในปีนี้ที่หยิบสมุดบันทึกมาอ่าน 17-18 ปีมาแล้ว นานมาก
อ่านไปเรื่อยๆ เราเห็นความอดทน เข้มแข็งของตัวเองมากๆ เพราะมีเรื่องราวบั่นทอนชีวิตเกิดขึ้นหลายอย่าง ไม่ได้หนักหนาสาหัสหากเทียบกับใครหลายคน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็ง บอกให้เราเห็นว่าเราใช้เวลาแต่ละวันทำอะไร และยังบอกอีกว่าเมื่อเวลาผ่าน เห็นอะไรรอบตัวมากขึ้น ทำให้มีปัจจัยในการคิด ตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น จนในที่สุดช่วงชีวิตที่ดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉพาะทางร่างกายและวัตถุ แต่รวมถึงจิตใจด้วย
ตั้งแต่ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาเดินเส้นทางของเราเรื่องราวบันทึกต่อจากนั้นมีแต่ความสนุกสนานบันเทิง ผู้ชายคนนั้นคือคนนี้ที่ใช้ชิวิตอยู่ด้วยในปัจจุบัน
Wednesday, May 1, 2013
คุณยายขายไม้กวาด
สมัยใหม่คงใช้เครื่องดูดฝุ่นกันหมดแล้วมั้ง ที่ไทยป้าไม่รู้ แต่บ้านป้าไม้กวาดดอกหญ้าไม่เคยเห็น ..........................
ย้อน ไปเมื่อครั้งป้าโอ้ทยังเป็นนักเรียนอาชีวะ ...เรียนพาณิชย์นั่นเอง ป้าอยู่กับแม่ที่หมู่บ้านเล็กๆย่านปทุมธานีใกล้กับโรงงานผลิตเครื่องดื่ม ยักษ์ใหญ่"โค๊ก" วันหนึ่งขณะที่ป้าทำอะไรสักอย่าง (จำไม่ได้แล้ว) อยู่หน้าบ้าน (ทาวน์เฮ้าส์ลักษณะห้องแถวเพราะทุกหลังติดกันเป็นพืด แต่เป็นหมู่บ้าน เพราะมีส่วนเป็นบ้านเดี่ยวเล็กๆ แต่หมู่บ้านนี้พื้นที่น้อย มีอยู่ร้อยหลังคาเรือนได้มั้ง) เวลานั้นเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ แดดร้อนมาก คุณยายอายุราวๆ 70 ใส่เสื้อคอกระเช้า และเสื้อแขนสั้นตัวนอกสีหม่นคลุมอีกที เดินกระย่อง กระแย่ง ตัวงอด้วยความชรา บนบ่าแบกไม่กวาดดอกหญ้าแพสวยมาด้วยมัดใหญ่ มีอยู่ราวๆ 10 อัน ใส่งอบขาดๆบังแดด เดินเข้ามาทักป้าโอ้ท
คุณยาย : หนู ซื้อไม้กวาดไว้ใช้สักอันไหม
ป้าโอ้ท : (ถามกลับไปโดยไม่ต้องคิด ด้วยเห็นสภาพผู้สูงวัยเบื้องหน้า) อันละเท่าไรล่ะยาย?
คุณยายบอกราคา ป้าโอ้ทจำไม่ได้ว่าเท่าไร
ป้าโอ้ท : ทำไมยายขายถูกจัง แล้วยายแบกมาไม่หนักเหรอ เดินมาจากไหน?
คุณยาย : ยายทำเองหนูไม่ได้ขายเอากำไรมาก ยายอยู่ว่างๆ ไม่หนักหรอก ยายชินแล้ว เดินมาเรื่อยๆ บ้านยายอยู่ด้านหลัง(หมู่บ้าน)นี่เอง
ป้าโอ้ท : งั้น หนูอุดหนุนยายสองอันก็แล้วกัน (อยากเหมานะ แต่ป้ามีเบี้ยเลี้ยงจำกัด เจียดเบี้ยเลี้ยงที่ต้องใช้ไปโรงเรียนมาอุดหนุน)
คุณยาย : ขอบใจนะหนูขอให้เจริญๆ
แล้วคุณยายก็เดินไปบ้านหลังต่อไป ไม่นานคุณยายก็เดินผ่านหน้าบ้านป้าโอ้ทอีกรอบ เผื่อเดินไปทางออกหมู่บ้าน ป้าโอ้ทสังเกตว่าไม้กวาดคุณยายยังปริมาณเท่าเดิม เมื่อคุณยายเดินลับไป ป้าข้างบ้านเดินมาหา
ป้า : โอ้ทซื้อไม้กวาดแกหรือเปล่า
โอ้ท : ซื้อสองอัน
ป้า : ยายแกไม่ได้จนนะ บ้านแกรวยมาก บ้านทรงไทยหลังนั้นล่ะของแก ลูกๆ แกก็รวยทุกคน แต่แกเคยทำ เคยเดินขายแกชิน คนเห็นแกแก่ถือไม้กวาดมาขายก็สงสารแก แต่พอรู้ว่าแกรวยก็ไม่ค่อยมีใครซื้อของแกแล้ว
โอ้ท : หรอ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ต้องใช้ไม้กวาดอยู่แล้ว (จากนั้นป้าโอ้ทเดินเข้าบ้าน) ......
ส่วนตัวป้าโอ้ท เมื่อตั้งใจทำความดี ตั้งใจให้ ป้าไม่คิดว่า คนรับเขาจะมาหลอก แต่เมื่อรู้ทีหลังว่าเขาหลอก ป้าก็จะไม่คิดเสียดาย หรือ คิดว่าตัวเองโง่ที่ถูกหลอก แต่ป้าจะคิดว่าไม่เป็นไร เราตั้งใจทำ ถ้าทำไปแล้วรู้ว่าเขาหลอก แล้วมาคิดเสียดาย คิดโกรธเคือง ความตั้งใจทำดี ตั้งใจให้จะกลายเป็นความทุกข์ และคนที่ทุกข์ใจก็ไม่ใช่ใครอีก ตัวป้าเอง
การทำบุญกับพระ ป้าจะไม่ทำบุญตามรถรับบริจาคนอกวัด หรือ มีพระมาเดินบิณฑบาตรตามบ้าน เพราะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าจะทำบุญ ไปทำที่วัด บริจาคเงินตู้ในวัด แต่ถ้าครั้งไหนนีกว่าจะทำ ต้องทำ เมื่อทำไปแล้วรู้ภายหลังว่าคนเหล่านั้นปลอม ก็คิดเสียว่า อย่างน้อยก็ทำด้วยความตั้งใจ"ให้" อย่างไรเราก็ได้ทำบุญ"ให้กับมนุษย์" แม้จะเป็นมนุษย์ลวงก็ตาม
ใครทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น ป้าเชื่อของป้าแบบนี้
Sunday, April 28, 2013
มองตาก็รู้...
อายุคนสั้นลงทุกวัน จะตายวัน ตายพรุ่งก็ไม่รู้ ขอเลือกเก็บเกี่ยวความสุขตราบที่ยังหายใจ...
และเมื่อเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เข้าวัยทำงาน มีคำพูดจากเพื่อนว่า
และวันหนึ่งเห็นข้อความหนึ่งบนหน้าเฟสบุ๊ค อ่านแล้วยิ้ม และ ชื่นชมคนเขียน
"บางคนที่ไม่เขียนอะไรที่เศร้า ไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีมุมนั้น แต่เขาเลือกที่จะเขียนในสิ่งที่ดีเท่านั้นเอง"
มุมของป้าโอ้ท : ทำไมเราต้องแสดงความอ่อนแอ หรือ จุดอ่อนแอให้ใครๆเห็น และ รับรู้ด้วยล่ะ เขามองว่าเราแกร่ง เราเข้มแข็งดีแล้วนี่ เราทำให้คนอื่นมีรอยยิ้มได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาลืมความทุกข์ความเศร้าเพียงเสี้ยววินาที เราก็ดีใจแล้ว
แม้ว่าใครๆจะมองว่าไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร ปัญญาอ่อน ก็ช่างเขา ตราบที่เรารู้ว่าเราทำอะไร ตราบที่เราทำแล้วเราสบายใจ คนที่ได้รับความสุขก็ไม่ใช่ใครอื่น "เรา" นั่นเอง
"โอ้ท วันไหนแกว่างมานั่งร้องไห้ ให้ฉันดูหน่อยนะ"
เพื่อนคนหนึ่งพูดสมัยเรียนมัธยมต้น"โอ้ท แกเคยเศร้าบ้างไหม(วะ;)"
Tuesday, April 23, 2013
เงียบ เหงา...
สวัสดีค่ะเช้าทอฝัน เช้านี้(23 เมย 2556)ป้าตั้งใจรีดผ้า แต่ก่อนอื่นใดเติ่มวิตามินให้สมองหลวมๆ ของป้าก่อนสักนิด เข้ามาอ่านหน้าบอร์ด นีกเรื่องเขียนได้อีก
"วันนี้เงียบจัง"
"เหงาจังเลย"
ย้อนเวลากลับไปเมื่อป้ายังเป็นวัยฝัน วันไหน ที่ป้าไม่มีคนที่อยู่ในฝันของป้า หรือไม่มีคนที่ป้าเก็บมาฝันของป้าคนเดียววันนั้น สองคำนี้จะแวะเวียนมานั่งอยู่ในสมองของป้า
เมื่อป้าโตขึ้น มีงานทำ มีกิจกรรมร่วมกับคนแปลกหน้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น เป็นกบหงายกะลา ป้าเห็นโลกกว้างขึ้น ผู้คนรอบตัวมากมายเจ้า เงียบ ไม่วิ่งเล่นในสมองของป้าแล้ว แต่เจ้าเหงาซิยังคงเล่นสนุกอยู่ในสมองว่างเปล่าของป้าอยู่นานหลายปีทีเดียว
เมื่อป้าพบกับกระดูกคู่ใจดี เป็นกระดูกคู่ที่ไม่ได้อยู่ติดกันระยะแรก ช่วงนั้นเจ้าเงียบกลับมาเยี่ยมป้าอีกแล้ว ทั้งๆที่ รอบตัวป้ามีผู้คนมากมาย แต่เจ้าเงียบได้ยีดพื่นที่ในสมองของป้าไว้เต็มพื้นที่ แต่แปลกเจ้าเหงากลับหนีป้าไป ไปไหนน๊า?
และเมื่อวันที่ป้าเลือกที่จะก้าวขาออกจากบ้านอย่างถาวร ไปบ้านหลังใหม่ของชิวิตป้า ป้าได้พาเจ้าเงียบ และ เจ้าเหงาไปกับป้าด้วย แต่...ทั้งสองกลับไม่วิ่งเล่นอยู่ในสมองว่างๆ ของป้าซะแล้ว หรือว่า ยังอยู่ที่ไทยไม่ได้ขึ้นเครื่องบินมากับป้าน๊า ^_^ ป้านีกสงสัยว่า เพราะในสมองของป้ามี"คุณกระดูกคู่" ชิ้นอวบๆ ที่แสนใจดีนั่งอยู่คับพื้นที่ เลยทำให้เจ้าเงียบ กับ เจ้าเหงาไม่มีที่วิ่งเล่น
สำหรับป้า ณ วันนี้ ถ้าป้าคิด(ถึง)ว่าเงียบ เจ้า(ความ)เงียบก็จะมา ถ้าป้าคิด(ถึง)ว่าเหงา เจ้า(ความ)เหงาก็จะมา แต่ถ้าป้าไม่คิด ป้าไม่เรียกเจ้าเงียบ กับ เจ้าเหงาก็ไม่มาอยู่กับป้า ป้าเรียกหาสิ่งที่ทำให้เวลาผ่านไปด้วยความสนุก เพลิดเพลิน สบายใจ
ใช่...ป้าไม่เถียงว่าในบางนาที ป้าเผลอเรียกเจ้าเหงาเข้ามา แต่ไม่ได้วิ่งเล่นอยู่ในสมองป้านานเพราะมีหลายสิ่งมากมาย สนุก เพลิดเพลินแย่งกันกระโดดเข้ามาอยู่ในสมองของป้าไม่เว้นแต่ละนาที
"วันนี้เงียบจัง"
"เหงาจังเลย"
ย้อนเวลากลับไปเมื่อป้ายังเป็นวัยฝัน วันไหน ที่ป้าไม่มีคนที่อยู่ในฝันของป้า หรือไม่มีคนที่ป้าเก็บมาฝันของป้าคนเดียววันนั้น สองคำนี้จะแวะเวียนมานั่งอยู่ในสมองของป้า
เมื่อป้าโตขึ้น มีงานทำ มีกิจกรรมร่วมกับคนแปลกหน้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น เป็นกบหงายกะลา ป้าเห็นโลกกว้างขึ้น ผู้คนรอบตัวมากมายเจ้า เงียบ ไม่วิ่งเล่นในสมองของป้าแล้ว แต่เจ้าเหงาซิยังคงเล่นสนุกอยู่ในสมองว่างเปล่าของป้าอยู่นานหลายปีทีเดียว
และเมื่อวันที่ป้าเลือกที่จะก้าวขาออกจากบ้านอย่างถาวร ไปบ้านหลังใหม่ของชิวิตป้า ป้าได้พาเจ้าเงียบ และ เจ้าเหงาไปกับป้าด้วย แต่...ทั้งสองกลับไม่วิ่งเล่นอยู่ในสมองว่างๆ ของป้าซะแล้ว หรือว่า ยังอยู่ที่ไทยไม่ได้ขึ้นเครื่องบินมากับป้าน๊า ^_^ ป้านีกสงสัยว่า เพราะในสมองของป้ามี"คุณกระดูกคู่" ชิ้นอวบๆ ที่แสนใจดีนั่งอยู่คับพื้นที่ เลยทำให้เจ้าเงียบ กับ เจ้าเหงาไม่มีที่วิ่งเล่น
สำหรับป้า ณ วันนี้ ถ้าป้าคิด(ถึง)ว่าเงียบ เจ้า(ความ)เงียบก็จะมา ถ้าป้าคิด(ถึง)ว่าเหงา เจ้า(ความ)เหงาก็จะมา แต่ถ้าป้าไม่คิด ป้าไม่เรียกเจ้าเงียบ กับ เจ้าเหงาก็ไม่มาอยู่กับป้า ป้าเรียกหาสิ่งที่ทำให้เวลาผ่านไปด้วยความสนุก เพลิดเพลิน สบายใจ
ใช่...ป้าไม่เถียงว่าในบางนาที ป้าเผลอเรียกเจ้าเหงาเข้ามา แต่ไม่ได้วิ่งเล่นอยู่ในสมองป้านานเพราะมีหลายสิ่งมากมาย สนุก เพลิดเพลินแย่งกันกระโดดเข้ามาอยู่ในสมองของป้าไม่เว้นแต่ละนาที
Friday, April 12, 2013
ภาษา...ปาก
คุยกัน แล้ว เข้าใจกันไหม ว่ากันไปอีกเรื่อง...
วันหนี่งในห้องน้ำสาธารณะ คุณแม่กำลังเปลียนแพมเพิรส์ให้คุณลูกตัวน้อยๆ ที่ร้องเสียงดัง ป้าโอ้ทจัดการธุระ(เข้าไปประชุม...^_^) เรียบร้อย ล้างมือเสร็จ เดินออกมารอเพื่อนอยู่ด้านนอก เสียงร้อง "อุ๊แว๊ อุ๊แว๊" ทำให้ป้าโอ้ทฉุกคิดขึ้นมาว่า...
" เออนะ ไม่ว่าจะเป็นคนชนชั้น วรรณะไหน สัญชาติ เผ่า ใดๆ เมื่อแรกมีชีวิตออกมาหายใจบนโลก ยังพูดภาษา "คน" ไม่เป็น ภาษาทารกนี่ละ ทุกคนร้องเหมือนกันหมด "อะแว๊ อะแว๊"
หรือมีใครที่พูดภาษา"คน" ได้เลย โดยไม่ผ่านการเปล่งเสียง
วันหนี่งในห้องน้ำสาธารณะ คุณแม่กำลังเปลียนแพมเพิรส์ให้คุณลูกตัวน้อยๆ ที่ร้องเสียงดัง ป้าโอ้ทจัดการธุระ(เข้าไปประชุม...^_^) เรียบร้อย ล้างมือเสร็จ เดินออกมารอเพื่อนอยู่ด้านนอก เสียงร้อง "อุ๊แว๊ อุ๊แว๊" ทำให้ป้าโอ้ทฉุกคิดขึ้นมาว่า...
" เออนะ ไม่ว่าจะเป็นคนชนชั้น วรรณะไหน สัญชาติ เผ่า ใดๆ เมื่อแรกมีชีวิตออกมาหายใจบนโลก ยังพูดภาษา "คน" ไม่เป็น ภาษาทารกนี่ละ ทุกคนร้องเหมือนกันหมด "อะแว๊ อะแว๊"
หรือมีใครที่พูดภาษา"คน" ได้เลย โดยไม่ผ่านการเปล่งเสียง
Tuesday, April 9, 2013
กระจก สะท้อน
วันนี้อ่านข้อความหนึ่งเพื่อนในเฟสบุ๊ค เขียนไว้ว่า " เมื่อเราหันหลังให้กระจกเราก็จะไม่เห็นหน้าตัวเอง" ใช่แน่หากกระจกนั้นคือกระจกเงา แต่หากกระจกนั้นเป็นกระจกโปร่งธรรมดาไม่สะท้อนเงา แม้เราจะหันหน้าหากระจกเราก็ไม่เห็นเงาตัวเองเช่นกันนั่นล่ะ
ทำให้นีกต่อไปว่า หากเราเป็นคนที่ไม่เคยมองตัวเอง ไม่เคยพิจารณาตัวเอง มัวแต่มองคนอื่น พิจารณาคนอื่น ตำหนิคนอื่น ไม่ว่าจะมีกระจกเงาอยู่รอบตัวเราก็มองไม่เห็นเพราะเราไม่เคยหันมองตัวเอง พิจารณาตัวเองเลย นีกถึงเวลาเข้าไปอยู่ในลิฟท์มีกระจกรอบด้าน ยกเว้นพื้น หันไปทางไหนก็เห็น
กระจกเงามนุษย์ ...( ใช้คำหรูซะด้วย) โอ้ทว่าเป็นกระจกเงาที่ส่อง สะท้อนถึงตัวตน สันดาน ได้ดีทีเดียว และยังเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่ส่องกระจก(มนุษย์)คนนั้น มองตัวเอง พิจารณาตัวเองมากขึ้น จะว่าไปแล้วก็มีทั้งเงาสวย และ เงาขี้เหร่เน่อะ เลือกกันเองก็แล้วกันว่าชอบเงาแบบไหน อยากได้เงาแบบไหนเป็นเงาตัวเอง
แต่ทำไมน๊า โอ้ทส่องกระจกไหนๆ ก็เห็นหน้าตัวเองสวยทุกครั้งเลย ^_^
ทำให้นีกต่อไปว่า หากเราเป็นคนที่ไม่เคยมองตัวเอง ไม่เคยพิจารณาตัวเอง มัวแต่มองคนอื่น พิจารณาคนอื่น ตำหนิคนอื่น ไม่ว่าจะมีกระจกเงาอยู่รอบตัวเราก็มองไม่เห็นเพราะเราไม่เคยหันมองตัวเอง พิจารณาตัวเองเลย นีกถึงเวลาเข้าไปอยู่ในลิฟท์มีกระจกรอบด้าน ยกเว้นพื้น หันไปทางไหนก็เห็น
กระจกเงามนุษย์ ...( ใช้คำหรูซะด้วย) โอ้ทว่าเป็นกระจกเงาที่ส่อง สะท้อนถึงตัวตน สันดาน ได้ดีทีเดียว และยังเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่ส่องกระจก(มนุษย์)คนนั้น มองตัวเอง พิจารณาตัวเองมากขึ้น จะว่าไปแล้วก็มีทั้งเงาสวย และ เงาขี้เหร่เน่อะ เลือกกันเองก็แล้วกันว่าชอบเงาแบบไหน อยากได้เงาแบบไหนเป็นเงาตัวเอง
แต่ทำไมน๊า โอ้ทส่องกระจกไหนๆ ก็เห็นหน้าตัวเองสวยทุกครั้งเลย ^_^
Sunday, March 24, 2013
ชีวิตคือความพอดี
ความพอดีของแต่ละคนไม่เท่ากันเน่อะ เนื่องจากพื้นฐานครอบครัว วิถีชีวิต สังคม ต่างกัน
คำว่าพอดี คำนี้ทำให้รู้สึกโล่งสบาย ยิ่งใครที่มีเรื่องราว ภาระที่หนักอื้งต้องแบก ต้องถือ(คำเปรียบเปรยที่ใช้กันทั่วไป)
คำว่าพอดี กับ เพียงพอ คงจะเป็นญาติ เป็นพี่น้อง เกี่ยวดองกัน เพราะทั้งสองคำ ทำให้รู้สีกไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องออกแรงมากจนลำบาก จนเหนื่อย จนแทบขาดใจ
นานมาแล้วมีคนๆหนึ่งเคยพูดว่า โอ้ทไม่มีตรงกลาง นี่ละเน่อะ ไม่มีความพอดี จะมีเพียง สูงสุด กับ ต่ำสุด
ได้ กับ ไม่ได้
ปัจจุบันโอ้ทคิดว่าตัวเองพอดี พอเพียง และ เพียงพอ ไม่ดิ้นรน ไม่ขวนขวาย ผลพลอยได้จากคนที่อยู่ด้วยกันเป็นคนง่ายๆ ไม่ดิ้นรน ไม่ขวนขวายไขว้คว้าสิ่งที่อยู่สูง มีแล้ว พอแล้ว และสิ่งที่ทำให้เราพอใจทุกสิ่งที่เราเป็น ที่เรามี เพราะเราไม่เปรียบเทียบกับใคร
ได้ฟังบางคนในยูทูปเขาพูดว่า ชีวิตเขาคือความพอดี ทำให้มองตัวเองว่า "เออนะ เราเองก็คงใช่"
ปล. แต่ไม่ได้รวมถึงการช้อปปิ้งนะคะ เพราะยังไงผู้หญิงกับการช้อปปิ้งก็ยังคงเป็นของคู่กัน แต่ก็ไม่เถียงว่าผู้หญิงหลายๆคน ไม่ชอบช้อปปิ้งก็ยังมีอยู่ แต่โอ้ทไม่ใช่หนึ่งในนั้น ^_^
คำว่าพอดี คำนี้ทำให้รู้สึกโล่งสบาย ยิ่งใครที่มีเรื่องราว ภาระที่หนักอื้งต้องแบก ต้องถือ(คำเปรียบเปรยที่ใช้กันทั่วไป)
คำว่าพอดี กับ เพียงพอ คงจะเป็นญาติ เป็นพี่น้อง เกี่ยวดองกัน เพราะทั้งสองคำ ทำให้รู้สีกไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องออกแรงมากจนลำบาก จนเหนื่อย จนแทบขาดใจ
นานมาแล้วมีคนๆหนึ่งเคยพูดว่า โอ้ทไม่มีตรงกลาง นี่ละเน่อะ ไม่มีความพอดี จะมีเพียง สูงสุด กับ ต่ำสุด
ได้ กับ ไม่ได้
ปัจจุบันโอ้ทคิดว่าตัวเองพอดี พอเพียง และ เพียงพอ ไม่ดิ้นรน ไม่ขวนขวาย ผลพลอยได้จากคนที่อยู่ด้วยกันเป็นคนง่ายๆ ไม่ดิ้นรน ไม่ขวนขวายไขว้คว้าสิ่งที่อยู่สูง มีแล้ว พอแล้ว และสิ่งที่ทำให้เราพอใจทุกสิ่งที่เราเป็น ที่เรามี เพราะเราไม่เปรียบเทียบกับใคร
ได้ฟังบางคนในยูทูปเขาพูดว่า ชีวิตเขาคือความพอดี ทำให้มองตัวเองว่า "เออนะ เราเองก็คงใช่"
ปล. แต่ไม่ได้รวมถึงการช้อปปิ้งนะคะ เพราะยังไงผู้หญิงกับการช้อปปิ้งก็ยังคงเป็นของคู่กัน แต่ก็ไม่เถียงว่าผู้หญิงหลายๆคน ไม่ชอบช้อปปิ้งก็ยังมีอยู่ แต่โอ้ทไม่ใช่หนึ่งในนั้น ^_^
Wednesday, January 30, 2013
ตังค์ ความสุข
30 มกราคม 2556...
คนเรามีความต้องการพื้นฐานเหมือนกัน แต่ความต้องการที่ทำให้แต่ละคนมีความสุขแตกต่างกันไป ตามปัจจัย และความเพียงพอของแต่ละคน
+ มีเงินเยอะๆๆ จะได้มีความสุขเยอะๆ
+มีเงินเยอะๆๆ แต่ไม่มีความสุขเลยสักนิด
+ไม่มีเงิน ไม่มีความสุข
+มีเยอะ หรือ มีน้อย ก็ไม่มีความสุข
+ความสุขมีเยอะ หรือ น้อย เป็นไปตามเงินที่มีในกระเป๋า
และ อื่นๆ ต่างคน ต่างความคิด ตัวโอ้ทเอง "มีความสุขไม่ต้องมีตังค์ก็ได้ (ตังค์เป็นตัวเงิน) เพราะโอ้ทใช้บัตรเครดิตที่มิสเตอร์จ่ายให้ทุกสตางค์(เพนนี)ที่จ่ายไป"
จบ.
คนเรามีความต้องการพื้นฐานเหมือนกัน แต่ความต้องการที่ทำให้แต่ละคนมีความสุขแตกต่างกันไป ตามปัจจัย และความเพียงพอของแต่ละคน
+ มีเงินเยอะๆๆ จะได้มีความสุขเยอะๆ
+มีเงินเยอะๆๆ แต่ไม่มีความสุขเลยสักนิด
+ไม่มีเงิน ไม่มีความสุข
+มีเยอะ หรือ มีน้อย ก็ไม่มีความสุข
+ความสุขมีเยอะ หรือ น้อย เป็นไปตามเงินที่มีในกระเป๋า
และ อื่นๆ ต่างคน ต่างความคิด ตัวโอ้ทเอง "มีความสุขไม่ต้องมีตังค์ก็ได้ (ตังค์เป็นตัวเงิน) เพราะโอ้ทใช้บัตรเครดิตที่มิสเตอร์จ่ายให้ทุกสตางค์(เพนนี)ที่จ่ายไป"
จบ.
Subscribe to:
Posts (Atom)